หน่วยความจำสำรอง
  สามารถแบ่งออกเป็น  2  ประเภทใหญ่ ๆ คือ


                ก. หน่วยความจำสำรองสามารถเข้าถึงข้อมูลโดยตรง  ( Directaccess )ได้แก่สื่อที่สามารถเก็บข้อมูลที่ต้องการได้ โดยตรงโดยไม่ต้องอ่านเรียงลำดับ เช่น  จานแม่เหล็ก ( Magnetic  Disk ) และ  cd - rom
                ข.  หน่วยความจำสำรองที่เข้าถึงข้อมูลเรียงลำดับ  ( Sequential  access ) ได้แก่   สื่อที่ใช้บันทึกข้อมูลที่ต้องการ จัดเก็บและเรียกใช้ข้อมูลโดยการเรียงลำดับ  เช่น  เทปแม่เหล็ก  Z Magnetic  tape )
                1.  จานแม่เหล็ก   ( Magnetic  disk )     เป็นอุปกรณ์หน่วยความจำสำรองที่นิยมใช้กันมาก อุปกรณ์ชนิดนี้มี
 มีลักษณะเป็นแผ่นกลมบาง ๆ ผิวหน้าทั้งสองฉาบด้วยสารแม่เหล็กมีขนาดต่าง ๆ กัน  เป็นสื่อนำข้อมูลที่มีความเร็วสูง  สามารถบันทึกข้อมูลได้ทั้งแบบเรียงลำดับ  และแบบสุ่ม  คือ  บันทึกลงในที่ว่างตรงไหนก็ได้ ส่วนการค้นหาข้อมูล          ที่บันทึกไว้ในจานแม่เหล็กจะเป็นแบบบันทึกข้อมูลโดยตรง คือดึงข้อมูลที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลใช้วิธีอ้างตำแหน่งข้อมูลนั้น
ทำให้การอ่านหรือค้นหาข้อมูลได้เร็วการบันทึกข้อมูลลงแผ่นจานแม่เหล็ก  จะบันทึกลักษณะเป็นวงเรียกว่าแทร็ก
( track ) โดยเริ่มจากวงนอกเข้าไปยังวงใน  แต่ละแทร็กจะถูกแบ่งออกเป็นเชกเตอร์  ( sector ) โดยในการอ่านข้อมูลแต่ละครั้งจะทำทีละ  1  เชกเตอรื  การจัดแทร็กและเชกเตอร์  ถ้าเป็นเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์  ภายใต้ระบบดอสจะใช้คำสั่งฟอร์แมท ( Format ) บริษัท IBM ได้เลือกเชกเตอร์ที่มีขนาดเท่ากับ  512  ไบท์  ( 1/2 KB ) การอ่านและการเขียนโดยใช้ดิสไดร์ ( Disk drive ) โดยมีหัวอ่านและเขียนจานแม่เหล็กทั้งฮาร์ดดิสและดิสเก็ตจะติดต่อกับ
แผ่นเมนบอร์ด ( Main bord )ผ่านดิสก์คอนโทรลเลอร์ซึ่งเป็นวงจรที่อยู่บนแผ่นเมนบอรืดตัวคอนโทรลเลอร์
จะทำหน้าที่ส่งข้อมูลจากดิสก์ไดรืไปยังตัวไมโครโปรเซสเซอร์ ( Microprocessor ) และแรม  ดิสค์ไดร์
คือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการอ่านและเขียนข้อมูลลงแผ่นดิสก์โดยจะประกอบด้วยหัวอ่าน/เขียน
จานแม่เหล็กประกอบด้วย  2  ประเภท  คือ
                    1.1  จานแม่เหล็กแบบแข็งหรือดิสก์แบบแข็ง ( Solid  disk )
                    1.2  จานแม่เหล็กแบบอ่อนหรือดิสก์แบบอ่อน ( Flexble  disk, Floppy  disk , Diskette )
                    1.1  ดิสก์แบบแข็ง ( Solid  disk )
                    ก.  เป็นดิสก์ ( Hard  disk ) เป็นดิสก์ขนาด 5 1/4 นิ้ว  และ  3  1/2  นิ้ว บรรจุอยู่ในกล่องพร้อมหัวอ่านกล่อง
นี้จะปิดสนิทประกอบด้วยแผ่นจานแม่เหล็ก  2-3  แผ่น  และติดตั้งไว้เป็นไดร์ฟ C ในเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์  ฮาร์ดดิสชุดหนึ่งจะบันทึกข้อมูลได้มาก ๆ การติดตั้งฮาร์ดิสก์ควรมีขนาดไม่ต่ำกว่า  40  เมกะไบท์ ถ้าฮาร์ดิสค์ยิ่งมีความจุมากขึ้นก็จะยิ่งมีราคาแพงขึ้นนอกจากนี้ฮาร์ดิสค์ยังสามารถอ่านและบันทึกข้อมูลในอัตราที่เร็วกว่าดิสเก็ต  หัวอ่านฮาร์ดิสก์จะไม่ได้แตะพื้นผิว  ดังนั้น  ในการใช้งานดิสเก็ตจะเสื่อมคุณภาพเร็วกว่าฮาร์ดิสค์
                     ข.  ดิสค์แพค  ( disk  pack ) เป็นดิสค์หลาย ๆแผ่นรวมกันเป็นชุดและครอบด้วยพลาสติกพร้อมที่จะจับเพื่อ
จะจับเพื่อควมสะดวกในการใช้และการติดตั้งในเคร่องจานแม่เหล็ก  ดิสค์แพคชุดนี้อาจประกอบด้วยดิสค์  3-11  แผ่น  วางซ้อนอยู่บนแกนเดียวกัน  มีหัวหลาย ๆ หัวโดยที่หัวอ่านแต่ละหัวจะใช้แกนร่วมกัน และถูกดึงเข้าดึงออกในแนวแทร็ก
เดียวกัน  เรียกของกลุ่มแทร็กนี้ว่าไซลินเดอร์ ( Cylinder )
                     1.2  ดิสค์แบบอ่อนหรือดิสค์เก็ต ( Flexible  Disk ,Floppy  Diskette )   เป็นดิสค์ที่ทำจากแผ่นฟิลม์พลาสติก
บางทำจากสารไมลาร์  ( mylar ) ฉาบด้วยสารแม่เหล็ก และหุ้มด้วยกระดาษแล้วใส่รองเอาไว้ดิสเก็ตใช้กับเครื่องไมโคร
ไมโครคอมพิวเตอร์มีขนาด  5  1/4  นิ้ว  และ  3  1/2  นิ้วลักษณะแผ่นดิสเก็ตมีรูปร่างคล้ายแผ่นเสียงมีกระดาษหุ้มอีกชั้น
หนึ่ง  ส่วนที่เจาะเป็นนวงรียาวสำหรับหัวอ่านและบันทึกเคลื่อนที่  เรียกว่า  Head  Windowตรงกลางเป็นรูกว้างเพื่อสวม  เพลาของเครื่องและมีรูกลมเล็ก ๆ  เรียกว่า  Index  hole  มีไว้เพื่อควบคุมการอ่านของแต่ละเชกเตอร์ด้านหนึ่งเป็นรอยบาก  มีกระดาษปิดเพื่อป้องกันการบันทึกข้อมูลทับข้ออมูลเดิมเรียกว่า     Write  Protect  Notch     ถ้ามีกระดาษนี้ปิดชนิดของ แผ่นดิสอยู่จะทำการอ่านข้อมูลได้อย่างเดียวถ้าเปิดออกจะบันทึกหรือลบข้อมูลได้
ชนิดของแผ่นดิสเก็ตสามารถแบ่งออกดังนี้
                     1.  Single-Side  Single-Density  ( SS  DD )หมายถึงแผ่นดิสเก็ตที่ใช้ได้เพียงหน้าเดียวและความหนาแน่น  ของข้อมูลปกติ
                     2. Single- side  Double-Density ( SS  DD ) หมายถึงแผ่นดิสค์เก็ตท่ใช้ได้หน้าเดียว และความหนาแน่นของ ข้อมูลสองเท่า
                    3.  Double-Sides  Single-Sensity (  DS  SD )หมายถึงแผ่นดิสเก็ตที่ใช้ได้สองหน้า แต่ละหน้ามีความหนา แน่นของข้อมูลปกติ
                    4.  Double-Sides  Double-Density ( DS  DD )หมายถึงแผ่นดิสค์เก็ตที่ใช้ได้สองหน้า แต่ละหน้ามีความหนา แน่นของข้อมูลเป็นสองเท่า  ถ้าเป็นดิสค์เก็ตขนาด  5  1/4  นิ้ว  จะมีความจุ  360  กิโลไบท์  และชนิด  3  1/2  นิ้ว จะมี  ความจุ  1.44  เมกะไบท์
                   5.  Double-Sides    High-Density  (DS  HD )หมายถึง  แผ่นิสค์เก็ตที่ใช้ได้สองหน้า แต่ละหน้ามีความหนา แน่นของข้อมูลสูง  ถ้าเป็นดิสค์เก็ตขนาด  5  1/4  จะมีความจุ  1.2  เมกะไบท์  และชนิด  3  1/2  นิ้ว  จะมีความจุ  1.44  เมกะไบท์ระยะเวลาที่ใช้ในการดึงข้อมูล ( Access time ) ของจานแม่เหล็ก
                   Access  time  คือเวลาตั้งแต่คอมพิวเตอร์เริ่อมค้นหาข้อมูล  จนกระทั้งได้รับข้อมูลตามต้องการ  ดังนั้น  Access time      จะประกอบด้วย
                  1.  ระยะเวลาค้นหา ( Seek  time )คือเวลาที่แขนของหัวอ่านเคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งของแทร็ก ( Track ) ที่ต้องการ
                  2.  การสวิทช์หัวอ่า่น ( Head  switching ) คือ  การหมุนหัวอ่านให้อยู่เหนือพื้นผิวแทร็ก ( Track )  ที่ต้องการ
                  3.  ระยะเวลาในการหมุน ( Rotational  Dealy  time  )  คือเวลาที่ให้หัวอ่านอยู่ตรงกับรายการข้อมูลที่ต้องการ
                  4.  การเคลื่อนย้ายข้อมูล ( Data  Yransfer )  คือ เวลาที่ใช้ในการย้ายข้อมูลจากแทร้ก ( Track ) บนจานแม่เหล็กเข้าสู่หน่วยความจำหลัก
ข้อดี
                 1.  เวลาที่ใช้ในการดึงข้อมูล  ( Retrieve ) และการปรับปรุงแก้ไขข้อมูล  ( update )  จะใช้เวลาน้อยกว่าเทปแม่เหล็ก  เพราะเป็นแบบเข้าถึงข้อมูลโดยตรง ( Direct  access )
ข้อเสีย
                 1.  ราคาชุดจานแม่เหล็กจะแพงกว่าชุดเทปแม่เหล็ก  ที่สามารถบันทึกข้อมูลได้ในปริมาณเท่ากัน
                 2.  การป้องกันการลบข้อมูลบนเทปจะง่ายกว่าในดิสค์เก็ต เพราะเพียงแต่เอาวงแหวนป้องกันไฟล์ ( File Protection)  ออกจากเทปเท่านั้น
                 ดังนั้นงานที่เหมาะที่จะใช้จานแม่เหล็กเก็บข้อมูล  คือ
                (1.) เป็นงานที่ต้องการค้นหาข้อมูลโดยตรง
                (2.) งานที่มีปริมาณข้อมูลไม่มากเกินไป
                (3.)  เป็นงานที่ต้องการประมวลผลให้เสร็จในช่วงเวลาจำกัด
                2.  จานดิสค์ ( Optical  Disk )เป็นดิสค์อีกชนิดหนึ่งที่ใช้บันทึกข้อมูลได้ปริมาณมาก ๆโดยใช้การบันทึกด้วย
ระบบแสงเลเซอร์  จานแสงนี้สามารถอ่านข้อมูลและบันทึกข้อมูลได้  ดดยจะต้องมีเครื่องอ่านและบันทึกโดยเฉพาะเช่น  CD*ROM
 ซีดีรอม ( CD-ROM )

             ซีดีรอม ( CD-ROM )ซีดีรอมหรือเลเซอร์ดิสค์  จัดเป็นแสงชนิดหนึ่งเป็นสื่อที่ใช้เก็บข้อมูลด้วยความเร็วสูง
และสามารถเก็บข้อมูลได้เป็นจำนวนมาก  มีการเก็บข้อมูลเป็นเชกเตอร์แต่ละเชกเตอร์จะเก็บข้อมูลได้  2,048ไบท์ การบันทึกข้อมูลลงแผ่นซีดีรอมใช็วิธียิงลำแสงเลเซอร์ ส่วนใหญ่แล้วเมื่อข้อมูลนั้นได้ถูกบันทึกไปแล้วจะไม่สามารถลบ
ออกหรือเขียนใหม่เพิ่มเติมได้  ดังนั้นข้อมูลที่จะบันทึกจะต้องเป็นข้อมูลที่แน่นอนไม่มีการเปลี่ยนแปลงแผ่นซีดีรอมหรือ เลเซอร์ดิสค์ต่างจากคอมแพคดิสค์หรือแผ่นซีดีที่ใช้ฟังเพลงหรือเลเซอร์ดิสคืที่ใช้ดูวีดีโอแต่ข้อมูลที่ถูกบันทึกอยู่ภายใน
แตกต่างกัน  ซึ่งข้อมูลนี้จะถูกอ่านและแปลออกมาเป็นข้อมูลทางคอมพิวเตอรแทนที่จะถูกแปลออกมาเป็นเสียงและต้อง
ใช้กับเครื่องอ่านซีดีรอมโดยเฉพาะ  ISO  9660  เป็นมาตรฐานที่ใช้กำหนดระบบการจัดเก็บไฟล์สำหรับซีดีรอม  ซีดีรอม  1  แผ่น  สามารถเก็บข้อมูลได้ตั้งแต่  500  เมกะไบท์ถึง  1  กิกะไบท์  ( GB )   การใช้งานของซีดีรอมควรพิจารณา                ตามความเหมาะสมเช่นพวกไฟล์ของฟอนต์ ( Font ) ตัวอักษร  ภาพกราฟิก  ข้อมูลอ้างอิง  ข้อมูลทางกฏหมาย  ทางประวัติศาสตร์  สารานุกรม  หรือเอกสารตำราในห้องสมุด
                       การใช้ซีดีรอมจะต้องมีไดร์ซีดีรอม  ซึ่งมีลักษณะคล้ายเครื่องเล่นคอมแพคดิสค์ โดยไดร์จะต่อเข้ากับ คอมพิวเตอร์  แล้วใช้ซอฟแวร์พิเศษสำหรับการอ่านและใช้ข้อมูลที่มีอยู่บนซีดีรอม  โดยสามารถอ่านข้อมูลได้อย่างเดียว
ข้อดี
                     ซีดีรอมเก็บข้อมูลได้มากกว่าสื่อเก็บข้อมุลประเภทที่ฉาบด้วยแม่เหล้กมีความทนทานกว่าและมีอายุการใช้งาน ยาวนานกว่า
ข้อเสีย
                      ค่าใช้จ่ายในการทำแผ่นต้นฉบับสูง  ความเร็วในนการเข้าถึงข้อมูลต่ำ
                      3.  เทปแม่เหล็ก ( Magnetic  Tape ) เทปแม่เหล้กเป็นสื่อเก็บข้อมูลที่มีราคาถูกและความจุข้อมูลสูงเทป
เทปแม่เหล็กแบ่งได้เป็น  2  ประเภท  ได้แก่เทปชนิดม้วน  ( Reel ) และเทปคาร์ทริป เป็นที่นิยมใช้งาน  ใช้สะดวก  เทปคาร์ทริปจ์  ตัวเทปจะบันทึกในกล่องพลาสติก  เวลาใช้ก็เพียงเสียบตลับเทปลงในไดร์เลย ซึ่งนับว่าสะดวกกว่าเทป ชนิดม้วนมากเพราะในการใช้เทปชนิดม้วนต้องนำมาม้วนเข้าเครื่อง
                     ลักษณะเทปแม่เหล็กที่ใช้บันทึกข้อมูลมีลักษณะเป็นนแทปที่ทำด้วยพลาสติกด้วยหนึ่งเคลือบด้วยสาร
แม่เหล็กการบันทึกข้อมูลลงเทปจะทำแบบเรียงลำดับและในการอ่านหรือค้นหาข้อมุลที่บันทึกไว้บนเทปจะทำแบบเรียง
ตามลำดับเช่นเดียวกัน
                    การบันทึกข้อมูลลงบนเทป  เมื่อเทปได้รับสัญญาณแม่เเหล็กไฟฟ้า     จากหัวบันทึกก็จะรวมตัวกัน เป็นความเข้มข้นมากน้อยตามรหัสของข้อมูล  เป็นการสร้างสนามแม่เหล้กลงบนเนื้อเทป   ถ้าจุดใดเป็นแม่เหล็ก
ก็หมายถึงการเก็บค่าบิท  1  ตามแนวขวางของเทปจะถุกแบ่งเป็นช่วง ๆ เรียกว่า  แทร้ก  ส่วนใหญ่จะเป็นแบบ  9  แทร้ก  ในแต่ละแทร้กจะเก็บข้อมูล  1  บิท  ( Bit ) ดังนั้น  ข้อมูลจะเก็บตามแนวขวางของเทปได้  1  ไบท์ ( 8 บิท  เท่ากับ 1  ไบท์ ) แทร้กที่  9  จะเป็นพาริตี้บิท ( Parity Bit ) คือ บิตที่ใช้ในการตรวจสอบข้อผิดพลาด
                    เทปแม่เหล็กชนิดม้วน ( Reel ) สามารถนำมาบันทึกข้อมูลซ้ำได้  ดดยการบันทึกข้อมูลใหม่ทับข้อมูลเดิม  แต่ถ้าไม่ต้องการบันทึกข้อมูลซ้ำ ต้องถอดวงแหวนป้องกันไฟล์  ( File Protection  Ring ) ออก วงแหวนป้องกันไฟล์ เป็นวงแหวนพลาสติกที่อยู่ด้านหลังเทปทุกม้วน  การบันทึกข้อมูลลงเทปจะมีวงแหวนหรือไม่มีวงแหวนก็สามารถอ่านได้  โดยปกติเมื่อบันทึกข้อมูลจากเทปจะมีวงแหวนป้องกันไฟลืออก  เพื่อป้องกันการบันทึกข้อมูลซ้ำ โดยไม่ได้ตั้งใจ
              วิธีการเก็บ  เรคอร์ด ( record ) ในเทปสามารถเก็บได้  2  แบบ  คือ
                   แบบที่ 1 ความยาวต่อเรคอร์ดคงที่ (FixedLengthRecordesเป็นการบันทึกข้อมูลของแต่ละเรคอร์ดแบบใช้ความยาวของเทปเท่ากันทุกเรคอร์ดที่ยาว
ที่สุดเป็นเกณฑ์แบบนี้จะทำให้สะดวกในการเขียนคำสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์อ่านแต่จะเปลืองเนื้อเทป
                  แบบที่  2  ความยาวเรคอร์ดไม่คงที่(Variable Length  Records )เป็นการบันทึกข้อมูลของแต่ละแรกเตอร์ตาม ความยาวของข้อมูลจริงๆแบบนี้จะประหยัดเนื้อเทปแต่ในการเขีนยคำสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์จะยุงยากมากกว่าแบบที่ 1
                  เทปไดรฟ์  (Tape Drive)   เป็นอุปกรณ์ที่ใช้อ่านข้อมูลลงเทป  จะประกอบด้วยหัวอ่าน/เขียน  โดยในการอ่าน/เขียนนี้จะมีการหมุนเนื้อเทให้ผ่านหัวอ่านดังกล่าว  ลักษณะในการอ่านจะเป็นจังหวะเริ่ม(Start)/หยุด(Stop)ลักษณะการหมุนๆหยุดๆของหัวอ่านนี้ต้องจัดให้เป็นเนื้อเทปส่วนที่
เข้ามาอยู่ใต้หัวอ่านในจังหวะหยุดและเริ่มเป็นเทปว่าง(Gap)เพื่อเป็นการประกันไม่ให้ข้อมูลตกหล่นหรือหายไปในระหว่าง การหยุดและการเริ่มจึ่งเรียกช่องว่างนี้ว่าช่องว่างเรคเตอร์(Inter  record gap) ซึ่งช่องว่างดังกล่าวไม่มีการบรรจุข้อมูล  แบบนี้จะมีข้อเสีย คือ จะเกิดช่องว่างมาก  จะทำให้การอ่านช้าลงและสิ้นเปลืองเนื้อเทป
                   ดังนั้นแทนที่หัวอ่านจะอ่านข้อมูลทีละ 1 เรคเตอร์ แล้วหยุด ก็จัดการให้หัวอ่าน ทำการอ่านทีละบล๊อค (Block) แทน โดยกำหนดให้แต่ละบล๊อคบรรจุข้อมูลไว้หลายๆเรคเตอร์เพื่อจะทำให้การอ่านเร็วขึ้น และเป็นการประหยัดเนื้อเทป
                การบันทึกข้อมูลมี 2แบบ
                    แบบที่ 1  Single Record Block  เป็นการบันทึกข้อมูลแบบไม่บล๊อค(Unblock)  หรือ 1 บล๊ค จะมีเพียง 1 เรคคอร์ด
                    แบบที 2      Multiple  Record Block เป็นการบันทึกข้อมูลแบบมีบล๊อค(Blocking) คือ 1บล๊อคจะมีหลายเรคเตอร์ เพื่อเป็นการประหยัดเนื้อเทปไม่ให้เกิดช่องว่า(Gap) ถี่จนเกินไป   วิธีการรวมข้อมูลหลายๆเรคเตอร์เข้าด้วยกันเป็น 1 บล๊อคนี้ จำนวนเรคเตอร์ซึ่งอยู่ภายใยแต่ละบล๊อค จะเรยกว่า Blocking facter  เช่นใน 1 บล๊อคบรรจุข้อมูล 4 เรคเตอร์ Blocking facter  จะเท่ากับ 4 ช่องว่างที่อยู่ระหว่างบล๊อคน้ เรียกว่า Inter block gap
                  การกำหนดจำนวนเรคอร์ดในแต่ละบล็อคต้องกำหนดจำนวนให้เหมาะสมไม่ใช้คำนึงแต่ว่ากำหนจำนวน
เรคอร์ดใน  1  บล็อคมาก  ๆ จะได้ไม่เปลืองเนื้อเทปเพราะในการอ่าน / เขียนข้อมูลแต่ละบล็อคนั้น  ข้อมูลที่อ่าน /เขียน นั้นจะถูกนำไปไว้ในบัฟเฟอร์ ( Buffer ) ซึ่งเป็นที่พักข้อมูลชั่วคราวเป็นนเนื้อที่ที่กันไว้ในหน่วยความจำแรม ( Ram ) ซึ่งแรมจะใช้เก็บข้อมูลชั่วคราวสำหรับอุปกรณ์รอบนอกที่มีความเร็วเกินในการทำงานตำกว่าหน่วยประมวลผลอื่น ๆ ดังนั้นจึงควรกะขนาดของบัฟเฟอร์นี้จะมีผลต่อขนาดของบล็อคอีกด้วย
                   ในการบันทึกข้อมูลลงในเทปจะสามารถบันทึกได้มากกว่า1ไฟลซึ่งเป็นส่วนของเรคอร์ดทที่จัดเก็บอยู่  ตอนต้นไฟล์  ดังนั้น  เมื่อคอมพิวเตอร์ต้องหาไฟล์ที่จะอ่านจะดูข้อมูลที่อยู่ที่ป้ายหัวเรื่องว่าชื่อไฟล์ตรงกันหรือไม่  เมื่ออ่านข้อมูลจากไฟล์  จนกระทั้งเจอป้ายชื่อท้ายไฟล์  ( Trailer  label )  ก็แสดงว่าจบไฟล์นั้นฉะนั้นเราสามารถแยกไฟล์ แต่ละไฟล์โดยใช้เครื่องหมายจับไฟล์ได้
                     ความหนาแน่นหรือความจุของเทปแม่เหล็ก ( Data  Density )หมายถึง ปริมาณของข้อมูลที่สามารถเก็บ
บันทึกบนเทปแม่เหล็กในความยาว  1  หน่วย  โดยใช้หน่วยที่เรียกว่า  BPI ( Bytes  Per  Inch )
                      ความหนาแน่นของข้อมูลขึ้นอยู่กับเทปไดร์  ( Tape  Drive ) และผู้บันทึกข้อมูลลงเทป  ซึ่งมีอยู่หลายชนิด  เช่น  800, 1600, 3600 ไบท์ต่อความยาวของเทปหนึ่งนิ้ว
ข้อดีของเทปแม่เหล็ก
                      1.  ความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูง
                      2.  มีความหนาแน่นของข้อมูลสูงมาก
                      3.  ราคาถูกเมื่อเทียบกับสื่อชนิดอื่น
ข้อเสียของเทปแม่เหล็ก
                      การบันทึกข้อมูลหรือการอ่านข้อมูลทำได้วิธีเดียว  คือ  แบบเรียงตามลำดับ ( Sequential )
  ดังนั้นงานที่เหมาะที่จะใช้เทปแม่เหล็กเก็บข้อมูล  คือ
                      1.  เป็นงานที่มีข้อมูลปริมารมาก
                      2.  ใช้เป็นสื่อในการเก็บข้อมูลสำรอง ( Back  Up )
                      3.  เป็นงานที่ไม่ต้องเร่งรีบ  และมีช่วงเวลาการทำงานที่ตายตัวแน่นอน