หน่วยความจำสำรอง
สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
ก. หน่วยความจำสำรองสามารถเข้าถึงข้อมูลโดยตรง ( Directaccess )ได้แก่สื่อที่สามารถเก็บข้อมูลที่ต้องการได้
โดยตรงโดยไม่ต้องอ่านเรียงลำดับ เช่น จานแม่เหล็ก ( Magnetic
Disk ) และ cd - rom
ข. หน่วยความจำสำรองที่เข้าถึงข้อมูลเรียงลำดับ ( Sequential
access ) ได้แก่ สื่อที่ใช้บันทึกข้อมูลที่ต้องการ จัดเก็บและเรียกใช้ข้อมูลโดยการเรียงลำดับ
เช่น เทปแม่เหล็ก Z Magnetic tape )
1. จานแม่เหล็ก ( Magnetic disk )
เป็นอุปกรณ์หน่วยความจำสำรองที่นิยมใช้กันมาก อุปกรณ์ชนิดนี้มี
มีลักษณะเป็นแผ่นกลมบาง
ๆ ผิวหน้าทั้งสองฉาบด้วยสารแม่เหล็กมีขนาดต่าง ๆ กัน เป็นสื่อนำข้อมูลที่มีความเร็วสูง
สามารถบันทึกข้อมูลได้ทั้งแบบเรียงลำดับ และแบบสุ่ม คือ
บันทึกลงในที่ว่างตรงไหนก็ได้ ส่วนการค้นหาข้อมูล
ที่บันทึกไว้ในจานแม่เหล็กจะเป็นแบบบันทึกข้อมูลโดยตรง คือดึงข้อมูลที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลใช้วิธีอ้างตำแหน่งข้อมูลนั้น
ทำให้การอ่านหรือค้นหาข้อมูลได้เร็วการบันทึกข้อมูลลงแผ่นจานแม่เหล็ก
จะบันทึกลักษณะเป็นวงเรียกว่าแทร็ก
( track
) โดยเริ่มจากวงนอกเข้าไปยังวงใน แต่ละแทร็กจะถูกแบ่งออกเป็นเชกเตอร์
( sector ) โดยในการอ่านข้อมูลแต่ละครั้งจะทำทีละ 1 เชกเตอรื
การจัดแทร็กและเชกเตอร์ ถ้าเป็นเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ ภายใต้ระบบดอสจะใช้คำสั่งฟอร์แมท
( Format ) บริษัท IBM ได้เลือกเชกเตอร์ที่มีขนาดเท่ากับ 512
ไบท์ ( 1/2 KB ) การอ่านและการเขียนโดยใช้ดิสไดร์ ( Disk drive ) โดยมีหัวอ่านและเขียนจานแม่เหล็กทั้งฮาร์ดดิสและดิสเก็ตจะติดต่อกับ
แผ่นเมนบอร์ด
( Main bord )ผ่านดิสก์คอนโทรลเลอร์ซึ่งเป็นวงจรที่อยู่บนแผ่นเมนบอรืดตัวคอนโทรลเลอร์
จะทำหน้าที่ส่งข้อมูลจากดิสก์ไดรืไปยังตัวไมโครโปรเซสเซอร์
( Microprocessor ) และแรม ดิสค์ไดร์
คือ
อุปกรณ์ที่ใช้ในการอ่านและเขียนข้อมูลลงแผ่นดิสก์โดยจะประกอบด้วยหัวอ่าน/เขียน
จานแม่เหล็กประกอบด้วย
2 ประเภท คือ
1.1 จานแม่เหล็กแบบแข็งหรือดิสก์แบบแข็ง ( Solid disk )
1.2 จานแม่เหล็กแบบอ่อนหรือดิสก์แบบอ่อน ( Flexble disk, Floppy
disk , Diskette )
1.1 ดิสก์แบบแข็ง ( Solid disk )
ก. เป็นดิสก์ ( Hard disk ) เป็นดิสก์ขนาด 5 1/4 นิ้ว และ
3 1/2 นิ้ว บรรจุอยู่ในกล่องพร้อมหัวอ่านกล่อง
นี้จะปิดสนิทประกอบด้วยแผ่นจานแม่เหล็ก
2-3 แผ่น และติดตั้งไว้เป็นไดร์ฟ C ในเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์
ฮาร์ดดิสชุดหนึ่งจะบันทึกข้อมูลได้มาก ๆ การติดตั้งฮาร์ดิสก์ควรมีขนาดไม่ต่ำกว่า
40 เมกะไบท์ ถ้าฮาร์ดิสค์ยิ่งมีความจุมากขึ้นก็จะยิ่งมีราคาแพงขึ้นนอกจากนี้ฮาร์ดิสค์ยังสามารถอ่านและบันทึกข้อมูลในอัตราที่เร็วกว่าดิสเก็ต
หัวอ่านฮาร์ดิสก์จะไม่ได้แตะพื้นผิว ดังนั้น ในการใช้งานดิสเก็ตจะเสื่อมคุณภาพเร็วกว่าฮาร์ดิสค์
ข. ดิสค์แพค ( disk pack ) เป็นดิสค์หลาย ๆแผ่นรวมกันเป็นชุดและครอบด้วยพลาสติกพร้อมที่จะจับเพื่อ
จะจับเพื่อควมสะดวกในการใช้และการติดตั้งในเคร่องจานแม่เหล็ก
ดิสค์แพคชุดนี้อาจประกอบด้วยดิสค์ 3-11 แผ่น วางซ้อนอยู่บนแกนเดียวกัน
มีหัวหลาย ๆ หัวโดยที่หัวอ่านแต่ละหัวจะใช้แกนร่วมกัน และถูกดึงเข้าดึงออกในแนวแทร็ก
เดียวกัน
เรียกของกลุ่มแทร็กนี้ว่าไซลินเดอร์ ( Cylinder )
1.2 ดิสค์แบบอ่อนหรือดิสค์เก็ต ( Flexible Disk ,Floppy
Diskette ) เป็นดิสค์ที่ทำจากแผ่นฟิลม์พลาสติก
บางทำจากสารไมลาร์
( mylar ) ฉาบด้วยสารแม่เหล็ก และหุ้มด้วยกระดาษแล้วใส่รองเอาไว้ดิสเก็ตใช้กับเครื่องไมโคร
ไมโครคอมพิวเตอร์มีขนาด
5 1/4 นิ้ว และ 3 1/2 นิ้วลักษณะแผ่นดิสเก็ตมีรูปร่างคล้ายแผ่นเสียงมีกระดาษหุ้มอีกชั้น
หนึ่ง
ส่วนที่เจาะเป็นนวงรียาวสำหรับหัวอ่านและบันทึกเคลื่อนที่ เรียกว่า
Head Windowตรงกลางเป็นรูกว้างเพื่อสวม เพลาของเครื่องและมีรูกลมเล็ก
ๆ เรียกว่า Index hole มีไว้เพื่อควบคุมการอ่านของแต่ละเชกเตอร์ด้านหนึ่งเป็นรอยบาก
มีกระดาษปิดเพื่อป้องกันการบันทึกข้อมูลทับข้ออมูลเดิมเรียกว่า
Write Protect Notch ถ้ามีกระดาษนี้ปิดชนิดของ
แผ่นดิสอยู่จะทำการอ่านข้อมูลได้อย่างเดียวถ้าเปิดออกจะบันทึกหรือลบข้อมูลได้
ชนิดของแผ่นดิสเก็ตสามารถแบ่งออกดังนี้
1. Single-Side Single-Density ( SS DD )หมายถึงแผ่นดิสเก็ตที่ใช้ได้เพียงหน้าเดียวและความหนาแน่น
ของข้อมูลปกติ
2. Single- side Double-Density ( SS DD ) หมายถึงแผ่นดิสค์เก็ตท่ใช้ได้หน้าเดียว
และความหนาแน่นของ ข้อมูลสองเท่า
3. Double-Sides Single-Sensity ( DS SD )หมายถึงแผ่นดิสเก็ตที่ใช้ได้สองหน้า
แต่ละหน้ามีความหนา แน่นของข้อมูลปกติ
4. Double-Sides Double-Density ( DS DD )หมายถึงแผ่นดิสค์เก็ตที่ใช้ได้สองหน้า
แต่ละหน้ามีความหนา แน่นของข้อมูลเป็นสองเท่า ถ้าเป็นดิสค์เก็ตขนาด
5 1/4 นิ้ว จะมีความจุ 360 กิโลไบท์
และชนิด 3 1/2 นิ้ว จะมี ความจุ 1.44
เมกะไบท์
5. Double-Sides High-Density (DS HD
)หมายถึง แผ่นิสค์เก็ตที่ใช้ได้สองหน้า แต่ละหน้ามีความหนา แน่นของข้อมูลสูง
ถ้าเป็นดิสค์เก็ตขนาด 5 1/4 จะมีความจุ 1.2
เมกะไบท์ และชนิด 3 1/2 นิ้ว จะมีความจุ
1.44 เมกะไบท์ระยะเวลาที่ใช้ในการดึงข้อมูล ( Access time ) ของจานแม่เหล็ก
Access time คือเวลาตั้งแต่คอมพิวเตอร์เริ่อมค้นหาข้อมูล
จนกระทั้งได้รับข้อมูลตามต้องการ ดังนั้น Access time
จะประกอบด้วย
1. ระยะเวลาค้นหา ( Seek time )คือเวลาที่แขนของหัวอ่านเคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งของแทร็ก
( Track ) ที่ต้องการ
2. การสวิทช์หัวอ่า่น ( Head switching ) คือ การหมุนหัวอ่านให้อยู่เหนือพื้นผิวแทร็ก
( Track ) ที่ต้องการ
3. ระยะเวลาในการหมุน ( Rotational Dealy time )
คือเวลาที่ให้หัวอ่านอยู่ตรงกับรายการข้อมูลที่ต้องการ
4. การเคลื่อนย้ายข้อมูล ( Data Yransfer ) คือ เวลาที่ใช้ในการย้ายข้อมูลจากแทร้ก
( Track ) บนจานแม่เหล็กเข้าสู่หน่วยความจำหลัก
ข้อดี
1. เวลาที่ใช้ในการดึงข้อมูล ( Retrieve ) และการปรับปรุงแก้ไขข้อมูล
( update ) จะใช้เวลาน้อยกว่าเทปแม่เหล็ก เพราะเป็นแบบเข้าถึงข้อมูลโดยตรง
( Direct access )
ข้อเสีย
1. ราคาชุดจานแม่เหล็กจะแพงกว่าชุดเทปแม่เหล็ก ที่สามารถบันทึกข้อมูลได้ในปริมาณเท่ากัน
2. การป้องกันการลบข้อมูลบนเทปจะง่ายกว่าในดิสค์เก็ต เพราะเพียงแต่เอาวงแหวนป้องกันไฟล์
( File Protection) ออกจากเทปเท่านั้น
ดังนั้นงานที่เหมาะที่จะใช้จานแม่เหล็กเก็บข้อมูล คือ
(1.) เป็นงานที่ต้องการค้นหาข้อมูลโดยตรง
(2.) งานที่มีปริมาณข้อมูลไม่มากเกินไป
(3.) เป็นงานที่ต้องการประมวลผลให้เสร็จในช่วงเวลาจำกัด
2. จานดิสค์ ( Optical Disk )เป็นดิสค์อีกชนิดหนึ่งที่ใช้บันทึกข้อมูลได้ปริมาณมาก
ๆโดยใช้การบันทึกด้วย
ระบบแสงเลเซอร์
จานแสงนี้สามารถอ่านข้อมูลและบันทึกข้อมูลได้ ดดยจะต้องมีเครื่องอ่านและบันทึกโดยเฉพาะเช่น
CD*ROM
ซีดีรอม
( CD-ROM )




ซีดีรอม ( CD-ROM )ซีดีรอมหรือเลเซอร์ดิสค์ จัดเป็นแสงชนิดหนึ่งเป็นสื่อที่ใช้เก็บข้อมูลด้วยความเร็วสูง
และสามารถเก็บข้อมูลได้เป็นจำนวนมาก
มีการเก็บข้อมูลเป็นเชกเตอร์แต่ละเชกเตอร์จะเก็บข้อมูลได้ 2,048ไบท์
การบันทึกข้อมูลลงแผ่นซีดีรอมใช็วิธียิงลำแสงเลเซอร์ ส่วนใหญ่แล้วเมื่อข้อมูลนั้นได้ถูกบันทึกไปแล้วจะไม่สามารถลบ
ออกหรือเขียนใหม่เพิ่มเติมได้
ดังนั้นข้อมูลที่จะบันทึกจะต้องเป็นข้อมูลที่แน่นอนไม่มีการเปลี่ยนแปลงแผ่นซีดีรอมหรือ
เลเซอร์ดิสค์ต่างจากคอมแพคดิสค์หรือแผ่นซีดีที่ใช้ฟังเพลงหรือเลเซอร์ดิสคืที่ใช้ดูวีดีโอแต่ข้อมูลที่ถูกบันทึกอยู่ภายใน
แตกต่างกัน
ซึ่งข้อมูลนี้จะถูกอ่านและแปลออกมาเป็นข้อมูลทางคอมพิวเตอรแทนที่จะถูกแปลออกมาเป็นเสียงและต้อง
ใช้กับเครื่องอ่านซีดีรอมโดยเฉพาะ
ISO 9660 เป็นมาตรฐานที่ใช้กำหนดระบบการจัดเก็บไฟล์สำหรับซีดีรอม
ซีดีรอม 1 แผ่น สามารถเก็บข้อมูลได้ตั้งแต่ 500
เมกะไบท์ถึง 1 กิกะไบท์ ( GB ) การใช้งานของซีดีรอมควรพิจารณา
ตามความเหมาะสมเช่นพวกไฟล์ของฟอนต์ ( Font ) ตัวอักษร ภาพกราฟิก
ข้อมูลอ้างอิง ข้อมูลทางกฏหมาย ทางประวัติศาสตร์ สารานุกรม
หรือเอกสารตำราในห้องสมุด
การใช้ซีดีรอมจะต้องมีไดร์ซีดีรอม ซึ่งมีลักษณะคล้ายเครื่องเล่นคอมแพคดิสค์
โดยไดร์จะต่อเข้ากับ คอมพิวเตอร์ แล้วใช้ซอฟแวร์พิเศษสำหรับการอ่านและใช้ข้อมูลที่มีอยู่บนซีดีรอม
โดยสามารถอ่านข้อมูลได้อย่างเดียว
ข้อดี
ซีดีรอมเก็บข้อมูลได้มากกว่าสื่อเก็บข้อมุลประเภทที่ฉาบด้วยแม่เหล้กมีความทนทานกว่าและมีอายุการใช้งาน
ยาวนานกว่า
ข้อเสีย
ค่าใช้จ่ายในการทำแผ่นต้นฉบับสูง ความเร็วในนการเข้าถึงข้อมูลต่ำ
3. เทปแม่เหล็ก ( Magnetic Tape ) เทปแม่เหล้กเป็นสื่อเก็บข้อมูลที่มีราคาถูกและความจุข้อมูลสูงเทป
เทปแม่เหล็กแบ่งได้เป็น
2 ประเภท ได้แก่เทปชนิดม้วน ( Reel ) และเทปคาร์ทริป เป็นที่นิยมใช้งาน
ใช้สะดวก เทปคาร์ทริปจ์ ตัวเทปจะบันทึกในกล่องพลาสติก เวลาใช้ก็เพียงเสียบตลับเทปลงในไดร์เลย
ซึ่งนับว่าสะดวกกว่าเทป ชนิดม้วนมากเพราะในการใช้เทปชนิดม้วนต้องนำมาม้วนเข้าเครื่อง
ลักษณะเทปแม่เหล็กที่ใช้บันทึกข้อมูลมีลักษณะเป็นนแทปที่ทำด้วยพลาสติกด้วยหนึ่งเคลือบด้วยสาร
แม่เหล็กการบันทึกข้อมูลลงเทปจะทำแบบเรียงลำดับและในการอ่านหรือค้นหาข้อมุลที่บันทึกไว้บนเทปจะทำแบบเรียง
ตามลำดับเช่นเดียวกัน
การบันทึกข้อมูลลงบนเทป เมื่อเทปได้รับสัญญาณแม่เเหล็กไฟฟ้า
จากหัวบันทึกก็จะรวมตัวกัน เป็นความเข้มข้นมากน้อยตามรหัสของข้อมูล
เป็นการสร้างสนามแม่เหล้กลงบนเนื้อเทป ถ้าจุดใดเป็นแม่เหล็ก
ก็หมายถึงการเก็บค่าบิท
1 ตามแนวขวางของเทปจะถุกแบ่งเป็นช่วง ๆ เรียกว่า แทร้ก
ส่วนใหญ่จะเป็นแบบ 9 แทร้ก ในแต่ละแทร้กจะเก็บข้อมูล
1 บิท ( Bit ) ดังนั้น ข้อมูลจะเก็บตามแนวขวางของเทปได้
1 ไบท์ ( 8 บิท เท่ากับ 1 ไบท์ ) แทร้กที่ 9
จะเป็นพาริตี้บิท ( Parity Bit ) คือ บิตที่ใช้ในการตรวจสอบข้อผิดพลาด
เทปแม่เหล็กชนิดม้วน ( Reel ) สามารถนำมาบันทึกข้อมูลซ้ำได้ ดดยการบันทึกข้อมูลใหม่ทับข้อมูลเดิม
แต่ถ้าไม่ต้องการบันทึกข้อมูลซ้ำ ต้องถอดวงแหวนป้องกันไฟล์ ( File Protection
Ring ) ออก วงแหวนป้องกันไฟล์ เป็นวงแหวนพลาสติกที่อยู่ด้านหลังเทปทุกม้วน
การบันทึกข้อมูลลงเทปจะมีวงแหวนหรือไม่มีวงแหวนก็สามารถอ่านได้ โดยปกติเมื่อบันทึกข้อมูลจากเทปจะมีวงแหวนป้องกันไฟลืออก
เพื่อป้องกันการบันทึกข้อมูลซ้ำ โดยไม่ได้ตั้งใจ
วิธีการเก็บ เรคอร์ด ( record ) ในเทปสามารถเก็บได้ 2
แบบ คือ
แบบที่ 1 ความยาวต่อเรคอร์ดคงที่ (FixedLengthRecordesเป็นการบันทึกข้อมูลของแต่ละเรคอร์ดแบบใช้ความยาวของเทปเท่ากันทุกเรคอร์ดที่ยาว
ที่สุดเป็นเกณฑ์แบบนี้จะทำให้สะดวกในการเขียนคำสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์อ่านแต่จะเปลืองเนื้อเทป
แบบที่ 2 ความยาวเรคอร์ดไม่คงที่(Variable Length Records
)เป็นการบันทึกข้อมูลของแต่ละแรกเตอร์ตาม ความยาวของข้อมูลจริงๆแบบนี้จะประหยัดเนื้อเทปแต่ในการเขีนยคำสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์จะยุงยากมากกว่าแบบที่
1
เทปไดรฟ์ (Tape Drive) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้อ่านข้อมูลลงเทป
จะประกอบด้วยหัวอ่าน/เขียน โดยในการอ่าน/เขียนนี้จะมีการหมุนเนื้อเทให้ผ่านหัวอ่านดังกล่าว
ลักษณะในการอ่านจะเป็นจังหวะเริ่ม(Start)/หยุด(Stop)ลักษณะการหมุนๆหยุดๆของหัวอ่านนี้ต้องจัดให้เป็นเนื้อเทปส่วนที่
เข้ามาอยู่ใต้หัวอ่านในจังหวะหยุดและเริ่มเป็นเทปว่าง(Gap)เพื่อเป็นการประกันไม่ให้ข้อมูลตกหล่นหรือหายไปในระหว่าง
การหยุดและการเริ่มจึ่งเรียกช่องว่างนี้ว่าช่องว่างเรคเตอร์(Inter record
gap) ซึ่งช่องว่างดังกล่าวไม่มีการบรรจุข้อมูล แบบนี้จะมีข้อเสีย คือ
จะเกิดช่องว่างมาก จะทำให้การอ่านช้าลงและสิ้นเปลืองเนื้อเทป
ดังนั้นแทนที่หัวอ่านจะอ่านข้อมูลทีละ 1 เรคเตอร์ แล้วหยุด ก็จัดการให้หัวอ่าน
ทำการอ่านทีละบล๊อค (Block) แทน โดยกำหนดให้แต่ละบล๊อคบรรจุข้อมูลไว้หลายๆเรคเตอร์เพื่อจะทำให้การอ่านเร็วขึ้น
และเป็นการประหยัดเนื้อเทป
การบันทึกข้อมูลมี 2แบบ
แบบที่ 1 Single Record Block เป็นการบันทึกข้อมูลแบบไม่บล๊อค(Unblock)
หรือ 1 บล๊ค จะมีเพียง 1 เรคคอร์ด
แบบที 2 Multiple Record Block เป็นการบันทึกข้อมูลแบบมีบล๊อค(Blocking)
คือ 1บล๊อคจะมีหลายเรคเตอร์ เพื่อเป็นการประหยัดเนื้อเทปไม่ให้เกิดช่องว่า(Gap)
ถี่จนเกินไป วิธีการรวมข้อมูลหลายๆเรคเตอร์เข้าด้วยกันเป็น 1
บล๊อคนี้ จำนวนเรคเตอร์ซึ่งอยู่ภายใยแต่ละบล๊อค จะเรยกว่า Blocking facter
เช่นใน 1 บล๊อคบรรจุข้อมูล 4 เรคเตอร์ Blocking facter จะเท่ากับ 4
ช่องว่างที่อยู่ระหว่างบล๊อคน้ เรียกว่า Inter block gap
การกำหนดจำนวนเรคอร์ดในแต่ละบล็อคต้องกำหนดจำนวนให้เหมาะสมไม่ใช้คำนึงแต่ว่ากำหนจำนวน
เรคอร์ดใน
1 บล็อคมาก ๆ จะได้ไม่เปลืองเนื้อเทปเพราะในการอ่าน / เขียนข้อมูลแต่ละบล็อคนั้น
ข้อมูลที่อ่าน /เขียน นั้นจะถูกนำไปไว้ในบัฟเฟอร์ ( Buffer ) ซึ่งเป็นที่พักข้อมูลชั่วคราวเป็นนเนื้อที่ที่กันไว้ในหน่วยความจำแรม
( Ram ) ซึ่งแรมจะใช้เก็บข้อมูลชั่วคราวสำหรับอุปกรณ์รอบนอกที่มีความเร็วเกินในการทำงานตำกว่าหน่วยประมวลผลอื่น
ๆ ดังนั้นจึงควรกะขนาดของบัฟเฟอร์นี้จะมีผลต่อขนาดของบล็อคอีกด้วย
ในการบันทึกข้อมูลลงในเทปจะสามารถบันทึกได้มากกว่า1ไฟลซึ่งเป็นส่วนของเรคอร์ดทที่จัดเก็บอยู่
ตอนต้นไฟล์ ดังนั้น เมื่อคอมพิวเตอร์ต้องหาไฟล์ที่จะอ่านจะดูข้อมูลที่อยู่ที่ป้ายหัวเรื่องว่าชื่อไฟล์ตรงกันหรือไม่
เมื่ออ่านข้อมูลจากไฟล์ จนกระทั้งเจอป้ายชื่อท้ายไฟล์ ( Trailer
label ) ก็แสดงว่าจบไฟล์นั้นฉะนั้นเราสามารถแยกไฟล์ แต่ละไฟล์โดยใช้เครื่องหมายจับไฟล์ได้
ความหนาแน่นหรือความจุของเทปแม่เหล็ก ( Data Density )หมายถึง ปริมาณของข้อมูลที่สามารถเก็บ
บันทึกบนเทปแม่เหล็กในความยาว
1 หน่วย โดยใช้หน่วยที่เรียกว่า BPI ( Bytes Per
Inch )
ความหนาแน่นของข้อมูลขึ้นอยู่กับเทปไดร์ ( Tape Drive ) และผู้บันทึกข้อมูลลงเทป
ซึ่งมีอยู่หลายชนิด เช่น 800, 1600, 3600 ไบท์ต่อความยาวของเทปหนึ่งนิ้ว
ข้อดีของเทปแม่เหล็ก
1. ความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูง
2. มีความหนาแน่นของข้อมูลสูงมาก
3. ราคาถูกเมื่อเทียบกับสื่อชนิดอื่น
ข้อเสียของเทปแม่เหล็ก
การบันทึกข้อมูลหรือการอ่านข้อมูลทำได้วิธีเดียว คือ แบบเรียงตามลำดับ
( Sequential )
ดังนั้นงานที่เหมาะที่จะใช้เทปแม่เหล็กเก็บข้อมูล คือ
1. เป็นงานที่มีข้อมูลปริมารมาก
2. ใช้เป็นสื่อในการเก็บข้อมูลสำรอง ( Back Up )
3. เป็นงานที่ไม่ต้องเร่งรีบ และมีช่วงเวลาการทำงานที่ตายตัวแน่นอน
